เริ่มเกมทั้งสองทีมเปิดเกมสู้กันอย่างสูสี ผ่านไปถึงนาทีที่ 38 ชาลเก้ได้ประตูออกนำ 1-0 จากการยิงของ โดดมินิค เดรกซ์เลอร์ และเป็นฝ่ายนำด้วยสกอร์นั้นในครึ่งแรก

เข้าสู่ครึ่งหลังในนาทีที่ 51 โบคุ่มตามตีเสมอเป็น 1-1 จากจังหวะที่ เกอร์ริต โฮลต์มันน์ จ่ายให้ ฟิลิปป์
ฮอฟมันน์ ยิงเข้าไป ซี่งเป็นประตูแรกของดาวยิงวัย 29 ปีในซีซั่นนี้

เข้าสู่นาทีที่ 71 ชาลเก้เกือบได้ประตูที่ 2 จากจังหวะที่ เอร์ฮาน เทร็อดเดอ ได้ซัดที่หน้ากรอบ 6 หลา ผู้รักษาประตูหมดสิทธิ์ป้องกันแล้ว แต่บอลดันไปชนคาน

อย่างไรก็ตามในนาทีที่ 73 ชาลเก้ได้ประตูออกนำ 2-1 จนได้ จากจังหวะฟรีคิกข้างเขตโทษฝั่งขวา เซปป์ วาน เดน เบิร์ก กึ่งยิงกึ่งผ่านเข้าไปลุ้นหน้าประตู บอลไปโดน เอร์ฮาน มาโซวิซ เปลี่ยนทางเข้าประตูไปเลย

หลังจากนั้น โบคุ่มพยายามเปิดเกมเพื่อทำประตูตีเสมอ แต่หาโอกาสยิงได้ค่อนข้างน้อย และเป็นฝั่งชาลเก้ที่มาได้ประตูปิดเกม ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาที 90+5 จากจังหวะที่ โทเบียส มอห์ เปิดฟรีคิกเกือบครึ่งสนามไปให้ เซบาสเตียน โพลเตอร์ โหม่งเข้าไป ส่งให้ชาลเก้เข้าวิน 3-1

ชาลเก้ นั่งอันดับ 12 โบคุ่มจอดป้ายท้ายตาราง

หลังผ่าน 6 นัด ชาลเก้ 04 เก็บเพิ่มเป็น 6 คะแนน (ชนะ 1 เสมอ 3 แพ้ 2) ขยับมาอยู่อันดับ 12 ห่างโซนตกชั้นแต้มเดียว โดยเกมนัดที่ 7 ลูกทีมของ แฟรงค์ ครเมอร์ มีคิวไปเยือน ดอร์ทมุนด์ ในวันที่ 17 กันยายน

ชาลเก้เป็นฝ่ายครองบอล 44.4% พร้อมโอกาสยิง 20 ครั้ง โดยที่ โดมินิค เดรกซ์เลอร์ เจ้าของสกอร์ 1-0 โอกาสยิง 2 ครั้ง สร้างโอกาส 3 ครั้ง ทำผลงานดีที่สุดในทีม (7.6 คะแนน) ตามด้วย ทอม ครอซ 8 แท็คเกิล โอกาสยิง 2 ครั้ง (7.5 คะแนน) และ ไซม่อน เทร็อดเดอ 1 แอสซิสต์ โอกาสยิง 4 ครั้ง (7.4 คะแนน)

ทางฝั่ง โบคุ่ม เกมนี้มีโอกาสยิง 10 ครั้ง จากการครองบอล 55.6% โดยที่ ฟิลิปป์ ฮอฟมันน์ เจ้าของสกอร์ 1-1 ชนะลูกกลางอากาศ 4 ครั้ง โอกาสยิง 1 ครั้ง ทำผลงานดีที่สุดในทีม (7.3 คะแนน) ตามด้วย เควิน สโตเกอร์ สร้างโอกาส 4 ครั้ง โอกาสยิง 1 ครั้ง (6.9 คะแนน)

หลังผ่าน 6 เกม โบคุ่ม แพ้รวดทั้ง 6 เกม ยังไม่มีสักแต้มจอดป้ายที่อันดับ 18 โดยเกมนัดที่ 7 ลูกทีมของ โทมัส เรียส มีคิวเปิดบ้านรับมือ โคโลญจ์ ในวันที่ 18 กันยายน